ขึ้นชื่อว่าขันธ์ห้าสมมุติทั้งหมด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ขอให้ทุกคนมีสติ ทำใจให้นิ่งที่สุด เพื่อจะมีความสุข และหลุดพ้นจากทุกข์ทรมานที่เกิดเป็นเป้าหมายสูงสุด ขอให้ทำให้จงตลอด ขอให้เดินทางอย่าลังเลนะ การเข้าถึงธรรมกายนั้น กายจะต้องถอดกายออกเป็นชั้นๆ ...นี่หนึ่งประเด็นนะ
ให้เห็นกายของกายในต่อไปเรื่อยๆ ถ้าถึงกายภายในที่ซ้อนกันหลายชั้น หลายระดับ จนถึงธรรมกาย พระพุทธองค์จึงได้แบ่งกายภายในออกเป็น ๒ ประเภท คือขันธ์ ๕ และธรรมขันธ์ โดยขันธ์ ๕ นั้นตกอยู่ในไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ส่วนธรรมขันธ์พ้นจากไตรลักษณ์ คือพ้นจากความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสิ่งที่คงที่ เป็นที่กำหนดแห่งความสุข เป็นตัวสุขล้วนๆ เพราะเป็นตัวตนที่แท้จริง เห็นไหม
ธรรมขันธ์น่ะ เอาเริ่มตั้งแต่ ทำใจนิ่งๆ ทำใจให้เป็นสุข ทำใจนิ่งๆ รถเรานี่เราตั้งศูนย์ รถคันไหนศูนย์ดี วิ่งไปก็ดีใช่ไหม? เกาะถนน ทำให้การทรงตัวดี ถ้ารถเราศูนย์ไม่ดี นี่วิ่งไปไม่ดี ทำใจนิ่งๆ ก็เท่านั้นเอง ทำใจนิ่งๆ มันเป็นสมาธิไง ทำใจนิ่งๆ ก็เหมือนศูนย์รถเราดี รถเราถอยรถมาใหม่เอี่ยมเลย เราจอดไว้เฉยๆ ไม่ได้บุบสลายอะไร จอดไว้เฉยๆ แล้วมันได้อะไรล่ะ? รถจอดไว้ที่บ้านได้อะไร? เราเอารถนี้ไปทำประโยชน์อะไร?
ทำใจนิ่งๆ เวลาทำใจนิ่งๆ เพราะใจนิ่งๆ อยู่มันเป็นพื้นฐาน มันมีอยู่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ปกติของคนมีสติ มีสมาธิถึงเป็นปุถุชน ถ้าคนขาดสติ ขาดความนิ่ง ขาดสติ ขาดสมาธินี่ นี่โรงพยาบาลศรีธัญญา พวกที่ขาดนี่เข้าโรงพยาบาลหมด เพราะมันขาดไป เห็นไหม นิ่งๆ นี้เป็นสมาธิ นี้ของปุถุชนนะ แล้วพระพุทธเจ้าถึงสอนให้ทำสมาธิขึ้นมา พวกเราต้องทำสมาธิ คือว่าทำใจให้เป็นพื้นฐาน ให้ทรง ให้ศูนย์เราดี ให้สมดุลในร่างกาย ให้สมดุลในจิตใจ พอสมดุลในจิตใจ เป็นสัมมาสมาธิ ทำจิตเป็นสัมมาสมาธิ แล้วค่อยยกขึ้นวิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนา เห็นไหม ต้องยกขึ้นวิปัสสนา
วิปัสสนาในอะไร? ก็นี่ในขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ ว่าถ้าเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันก็เป็นอันเดียวกับที่เขามาถามว่าอนัตตานี้ไม่ใช่เรา อนัตตานี้เป็นข้างนอก ขันธ์ ๕ นี้เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา สรรพสิ่งนี้เป็นอนัตตาโดยธรรมชาติเลย สรรพสิ่งนี้เป็นอนัตตาโดยธรรมชาติ แต่เพราะว่าอนัตตาไม่ใช่เรา เพราะเราไม่เข้าไปรู้ในอนัตตาไง
นี่ก็เหมือนกัน ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา ขันธ์ ๕ นี้เป็นทุกข์ แต่รถมันไม่ได้วิ่งมา รถมันจอดอยู่เฉยๆ มันไม่ได้ผ่านเข้าไป มันจะไปเห็นขันธ์ ๕ ที่ไหนล่ะ? มันไม่ได้ขยับตัวอะไรเลย ถึงว่าถอดกายเข้าไปเป็นชั้นๆ เห็นไหม ถอดกาย รถต้องวิ่งผ่านกายเข้าไปเป็นชั้นๆ ไง หมอมันผ่าตัดกาย หมอผ่าตัดเขาต้องผ่าผ่านหนังกำพร้าก่อน กายเป็นชั้นๆ เข้าไป นี่ผ่ากาย ผ่าอย่างนั้นหรือ? คือว่าเข้ากายเข้าไปหาเป็นชั้นๆ เข้ากายอย่างนั้นหรือ?
นี่คำพูดมันผิดหมดไง มันต้องวิปัสสนา วิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ใช่ไหม? ในขันธ์ ๕ นั่นน่ะ ขันธ์ ๕ นี่กาย เห็นไหม ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตัวมันเองน่ะ ถ้ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป แต่มันเป็นทุกข์เพราะเรามีกิเลส เรามีกิเลสไง เรามีความอยากไง เรามีความทนไม่ได้ ทุกข์คือการทนไม่ได้ ทนไม่ได้ว่าไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย เราอยากได้ดีกว่านี้ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ นี่ตัวยุแหย่ทำให้เกิดทุกข์ไง
ขันธ์ ๕ เป็นขันธ์ ๕ นี่แล้วบอกว่า มันเป็นขันธ์ ๕ มันต้องมีปัญญา วิปัสสนาญาณ ตัวที่มาเห็น คือว่าเราเข้าไปเห็นเหมือนกัน เหมือนที่ว่าอนัตตาไม่ใช่เรา จริงอยู่อนัตตาไม่ใช่เรา แต่มันเป็นไม่ใช่เราเพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือพระอรหันต์เท่านั้นถึงไม่ใช่เรา แต่ถ้าเป็นปุถุชนนี้เราล้วนๆ ใครไม่กลัวตาย ทุกคนกลัวตาย กลัวเจ็บไข้ได้ป่วย กลัวหมด ความกลัวนั้นกลัวในอะไร? ก็กลัวความแปรปรวน กลัวอนัตตา มันกลัวอนัตตา มันไม่เห็นอนัตตา
คนที่เข้าไปรู้ เข้าไปเห็นอนัตตาจนรู้แจ้ง ถึงปล่อยวางอนัตตาด้วยความเป็นจริง จะบอกว่าอนัตตาไม่ใช่เราตั้งแต่ทีแรกได้อย่างไร? อนัตตานี่เกิดขึ้นจากความรู้ความเห็นของเรา เป็นวิชาการของเรา เป็นสมบัติของเราที่เราเห็นตามความเป็นจริงต่างหาก เห็นไหม มันต้องเห็นอย่างนั้น มันถึงว่าคำว่าอนัตตาไม่ใช่เรา มันพูดอย่างนี้พูดแบบผู้เรียนปริยัติไง พูดแบบว่าอ่านวิชาการมา ไม่เคยเข้าไปละอนัตตาได้จริงไง ถ้าละอนัตตาได้จริง ไม่กล้าพูดอย่างนี้หรอก
พูดว่าอนัตตาไม่ใช่เราจริงอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าอนัตตาไม่ใช่เราตั้งแต่ทีแรกเลย อนัตตานี่ เพราะธรรมนี้ ธรรมคืออนัตตาที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เพิ่งมาตรัสรู้ มาเห็นแจ้งในหัวอกของพระพุทธองค์เอง ในหัวใจของท่านเข้าไปสัมผัสเอง รู้แจ้งแล้วปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง อันนั้นต่างหาก เห็นไหม เห็นอนัตตา รู้ตามความเป็นจริง นี่พอเห็นอนัตตา รู้อนัตตาถึงได้ละขันธ์ไง
มันไม่ใช่ธรรมขันธ์ คำว่าขันธ์ ๕ เห็นไหม เขาว่า แบ่งเป็นธรรมขันธ์ ธรรมขันธ์นี้เหนือสุข ธรรมขันธ์นี้ไม่อยู่ในอัตตา ธรรมขันธ์นี้พ้นจากไตรลักษณ์
ขันธ์ไหนมันพ้นจากไตรลักษณ์? มันเป็นกองอยู่ เป็นรูปอยู่ ในเมื่อเป็นขันธ์อยู่มันจะพ้นจากไตรลักษณ์ไปได้อย่างไร? สิ่งที่มีอยู่มันต้องแปรสภาพทั้งหมด ขันธ์นี้มันจะพ้นจากไตรลักษณ์ไปไหน? แล้วมันจะเป็นธรรมขันธ์ได้อย่างไร?
มันเป็นปัญญาพิจารณาขันธ์ ถูกต้อง สังขารขันธ์ คือว่าสังขารขันธ์ เวลาเราคิด เราปรุงแต่งโดยปุถุชนนี่เป็นสัญญา เป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้ามีสมาธิ มีสมาธิมันยกขึ้นเป็นปัญญาไง สมาธินี้แยกออกจากความคิดของเราที่เป็นโลกียะ มีปัญญา มีสมาธิแบ่งออกไปเป็นโลกุตตระไง เป็นสัมมาสมาธิ แยกกิเลสให้กิเลสมันยุบยอบลง ให้มีอิสระ เหมือนกับเราไปทดลองวิทยาศาสตร์ในอวกาศพ้นออกไป
ปัญญาอย่างนี้นี่ปัญญาขันธ์ ปัญญาขันธ์นี้ก็เป็นสมมุติ สมมุติเพื่อจะชำระกิเลสไง เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้าไง เห็นไหม ถึงว่าธรรมขันธ์มันไม่มีหรอก มันถึงเป็นขันธ์ ถ้ามันมีอยู่มันก็เป็นปัญญาไง เป็นปัญญา ขันธ์นี้เป็นปัญญา สังขารขันธ์ สังขารขันธ์ มีสมาธิอยู่อันนี้เป็นปัญญา มีสติอยู่เป็นความเพียร อันนี้เป็นมรรค แต่ถ้าขาดสติ ขาดปัญญา อันนี้เป็นขันธ์ ๕ เป็นขันธ์ที่เป็นทุกข์ แล้วชำระด้วย
นี่มันเป็นปัญญา มันเป็นการก้าวเดิน มันตกอยู่ในอนัตตาทั้งนั้นแหละ แล้วเขาบอกว่ามันเป็นสุข มันพ้นจากไตรลักษณ์ ในเมื่อมันเป็นขันธ์อยู่มันจะพ้นไปไหน? สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่ สิ่งนั้นต้องแปรสภาพเป็นธรรมดา พ้นไปไม่ได้หรอก เห็นไหม มันไม่ใช่ธรรมขันธ์ เพียงแต่ว่าพอพ้น มันขาดตั้งแต่เป็นอนาคามีนะ พระอนาคายังมีรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา รูปราคะ ไม่ใช่ นี่พระอรหันต์ พระอรหันต์ตัดรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ พระอนาคามีตัดกามราคะกับปฏิฆะ
กามราคะกับปฏิฆะนะ กาม การเสพกาม เอาศพนะ เอาคนตาย ๒ คนนะ ระหว่างหญิงกับชายมาพาดใส่กัน ศพนั้นเสพกามกันไม่ได้ การเสพกามต้องนึกก่อนไง ต้องคนมีชีวิตไง จิตมันคิด มันนึก เห็นไหม มันถึงเสพกามได้ การคิด การนึกเป็นสัญญาไหม? เป็นความทรงจำมาไหม? เป็นสัญชาตญาณไหม? ความสัญญานี้คือขันธ์ นี่พระอนาคามีต้องตัดตรงนี้ได้ ตัดขันธ์ ๕ ไง ตัดสัญญาความจำได้ ความหมายรู้ ถึงเป็นผู้ไม่มีเรือน อนาคามี อารามิก ไม่มีเรือน นี่พระอนาคามีตัดขันธ์ได้ พระอนาคามีไม่มีขันธ์ ขันธ์นี่ขาดตั้งแต่พระอนาคามี
ทีนี้ถึงว่าขันธ์นี้เป็นธรรมได้อย่างไร? ขันธ์ ๕ นี้เป็นธรรม ทีนี้อาจารย์บอกว่า ถ้าพูดว่า จิตนี้ พระอรหันต์นี้เหมือนจิต ท่านยังรับไม่ได้เลย อาจารย์มหาบัวถึงบอกว่า เป็นธรรมธาตุ ถ้าว่าเป็นจิตๆ จิตนี้เป็นรูปอยู่ เห็นไหม เพราะว่าถ้าจิตนี้มีกิเลสอยู่ จิตนี้คือตัวอวิชชา ตัวอวิชชานี่ ตัวจิตกับตัวขันธ์มันคนละตัว ในอนัตตลักขณสูตร วิญญาณัสมิงปิ นิพพินทะติ รูปัสมิงปิ นิพพินทะติ สัญญายะปิ นิพพินทะติ เวทะนายะปิ นิพพินทะติ ขันธ์ ๕ ละขันธ์ ๕ นิพพินทะติ
แต่พอมาในอาทิตตฯ ในอาทิตต์ฯ นี่ มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มโนคือตัวใจ เห็นไหม ตัวมโน นี่มันขัดกันตรงนี้นิดหนึ่ง ต้องไปละตัวตอของจิต ตัวขันธ์นี้เป็นตัวการ ตัวขันธ์นั้นคือตัวกาม ตัวขันธ์นั้นคือตัวจำได้หมายรู้ เพราะมีความอยาก มีความตั้งใจ มันถึงเกิดปฏิฆะความผูกคิด ความพยาบาท ความอยากได้และไม่อยากได้ ถ้าขาดตรงนั้นไปขันธ์ไม่มี แล้วขันธ์ไหนเป็นธรรม? ขันธ์มันขาดไปตั้งแต่พระอนาคามี ฉะนั้น พอมาพิจารณาตัวจิต ตัวจิต ธรรมธาตุไง
ตัวจิตมันมีอวิชชาเป็นตัวของจิต อวิชชามันเผาทำลายตัวมันเอง มันพ้นออกไป มันถึงเป็นเอโก ธัมโม แต่เดิมอาจารย์ใช้คำว่าเอโก ธัมโม ธรรมอันเอก ธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง เห็นไหม พอใช้คำนี้มาเขาถึงบอกว่าเป็นธรรมขันธ์ เอาขันธ์นี้มาเป็นธรรมอีกไง เพราะตัวเองไม่รู้ไง เพราะธรรมธาตุ ธรรมธาตุ ฟังสิ เพราะธาตุคือเป็นตอ ตอของจิต
อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง ธรรมธาตุ จิตนี้นอนเนื่องด้วยอนุสัย ๓ ด้วยภวาสวะ อวิชชาสวะ กิเลสสวะ ๓ อย่างนี้นอนเนื่องกับตอของจิต นี่ ๓ อย่างกับจิตนี้รวมกันเป็นตออยู่ มันไม่ใช่ออกมาเป็นขันธ์อย่างนั้นแล้ว ขันธ์นี้เป็นกอง เป็นความคิด สัญญาก็เป็นกองหนึ่ง เวทนาก็เป็นกองหนึ่ง กองรูป แต่อันนี้มันเป็นปัจจยาการ มันลุกพุ่บๆๆ เป็นอันเดียวกัน มันถึงต้องทำลายตัวมันเอง มันเผาทำลายตัวเองเพราะมันเป็นธาตุ
มันเหมือนกับเราจุดธูป ธูปจะลามตัวมันไปเอง ไหม้ตัวมันไปเอง แต่ธรรมจักรมันจะจุดตรงนี้ไหม้กันไปเอง มันไม่ใช่ขันธ์ มันเป็นตอ ถ้าเป็นขันธ์ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นบาทฐานขึ้นมาถึงตรงนี้เอง แต่ตอขึ้นไปนั้นเป็นธรรมธาตุแบบอาจารย์พูด ไม่ใช่ธรรมขันธ์ เพราะธรรมเป็นธรรม เป็นธรรมฝ่ายเหตุ เป็นปัญญา ธรรมขันธ์นะ แต่ตัวขันธ์นั้นยังแปรปรวนอยู่ เพราะตัวขันธ์นั้นเป็นตัวกอง ตัวรูป
คำว่าขันธ์นะ ขันธ์ ๕ คือกองทั้ง ๕ แต่อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณังนี้เป็นอันเดียวกันเลย เพราะเป็นปัจจยาการ เป็นของที่เกี่ยวเนื่องกัน เพราะอิทัปปัจจยตา สิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนั้น อิทัปปัจจยตาคืออวิชชานี่แหละ อิทัปปัจจยตาก็เหมือนกับอวิชชาปัจจยา สังขารา มันเกี่ยวเนื่องเป็นอันเดียวกันเลย เหมือนนิ้ว นิ้วนี่เป็นนิ้วเดียว แต่ถ้ามองนี่เป็นเนื้อ แต่เราว่าเล็บ เราจะมองนิ้วนี้มีกระดูกอ่อน ไม่มีเนื้อเลย เราจะเถียงกับโยม ต้องเถียงกันจนวันตาย
เพราะอะไร? เพราะเราเห็นเล็บ เราว่านิ้วนี้คือกระดูกอ่อน แต่โยมบอกนิ้วนี้เป็นเนื้อ เห็นไหม มันมองต่างมุมกันไง มองคนละมุมกัน ถึงได้ออกมาเป็นความรู้เป็นอย่างนั้นไป แต่จริงๆ แล้วมันเป็นอันเดียวกัน ถึงว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตาไง สิ่งนั้นมันมีอยู่ในตัวมันเองนั่นแหละ มันเกาะเนื่องกัน แต่พวกเราไม่เห็น พวกเราไม่รู้ แต่อันนี้เป็นพุทธวิสัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นพุทธวิสัย ถึงได้กลัว ถึงห่วงว่าสิ่งนี้มันล้ำลึกนัก แล้วใครจะรู้ตามทันได้ ถึงได้สอนลูกศิษย์ไว้ไง
พระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญารองจากพระพุทธเจ้า ถึงว่าจำกันมาเป็นปาฐะ จำตามกันมาไง แต่พูดตามๆ กันมา คือว่าบอกกันมาเป็นวิชาการ แต่ผู้เข้าไปเห็นแล้วจะไม่กล้าเอ่ยปาก จะไม่กล้าเอ่ยปากเลยว่ามันจะเป็นขันธ์ เป็นกอง เป็นรูป เป็นอะไร ไม่ใช่ ถึงว่าเป็นธรรมธาตุแบบอาจารย์พูดนี่ถูก เป็นธาตุ แต่ธาตุที่มีชีวิต ธาตุที่บริสุทธิ์ ธาตุที่ไม่เคลื่อนไปและไม่เคลื่อนมา ธาตุที่เติมไม่ได้ เป็นธาตุอยู่ ถ้าไม่ใช่เป็นธาตุอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่ท่านนิพพานแล้ว ตอนที่นิพพานแล้วทำไมท่านไปหมดไป ตายไปพร้อมกับท่านนิพพานล่ะ?
ท่านนิพพานแล้วยังสอนมาอีก ๔๕ ปี ถึงบอกว่าขันธ์ที่พระพุทธเจ้าแบ่งเป็น ๒ อย่าง มันแบ่งเป็น ๒ อย่างที่เขาไม่รู้จริง ถ้ารู้จริงพระพุทธเจ้าแบ่งเป็น ๒ อย่าง ว่าพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ คือสอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่ขันธ์ยังมีอยู่ กับร่างกายชีวิตยังมีอยู่ กับอนุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่ตายไปแล้ว ทีนี้ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ มีขันธ์อยู่ มันก็สัมพันธ์กันอยู่ เห็นไหม แต่สัมพันธ์กันอยู่ด้วยความบริสุทธิ์
มันต้องอย่างนั้น ไม่ใช่ขันธ์ ๕ อย่างที่ว่าธรรมขันธ์กับขันธ์ทุกข์อย่างนี้ มันเป็นขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในพระไตรปิฎกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน กับสอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ก็ยังมีขันธ์ ๕ ยังสื่อความหมายกันได้ แต่สื่อได้ของพระอรหันต์ ฉะนั้น จิตท่านก็ต้องบริสุทธิ์
อย่างเช่นครูบาอาจารย์เรานี่ เห็นไหม ท่านยังเอ็ดว่าลูกศิษย์ ท่านยังด่า ท่านยังเตือนอยู่ แต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะท่านเมตตาสงสาร ถ้าตายไปแล้ว จิตมันพ้นออกไปจากขันธ์ มันแยกออกหมด มันกลับไปสู่สภาพเดิมหมด อันนั้นต่างหากถึงแบ่งเป็น ๒ แต่ไอ้อย่างนี้ไม่ใช่ ไอ้ที่ว่าขันธ์ ๕ ที่เป็นทุกข์ กับขันธ์ ๕ ที่เป็นธรรมขันธ์ มันคนละเรื่อง คนละเรื่องที่ว่าบุคคล ๘ จำพวก
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล ขันธ์ไหนมันแบ่งกัน? ไม่มีแบ่ง คนเกิดมาคนเดียว คนมีร่างเดียว มีหัวใจกับร่างกายอยู่ในอันเดียวกัน ไม่ใช่คนเกิดมามี ๒ ร่าง ร่างหนึ่งเป็นขันธ์ที่เป็นทุกข์ อีกร่างหนึ่งเป็นขันธ์ธรรมขันธ์ มันเป็นขันธ์สกปรก ขันธ์ทุกข์ๆ นี่แหละ เกิดมาด้วยกิเลสอวิชชานี่แหละ แต่เพราะฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้ปฏิบัติขึ้นมา แล้วมันจะสะอาดขึ้นไปเรื่อยๆ
จากปุถุชนกลายเป็นกัลยาณปุถุชน จากกัลยาณปุถุชนเป็นโสดาปัตติมรรค จากโสดาปัตติมรรค ขันธ์ละเอียดขึ้นไปกลายเป็นโสดาปัตติผล โสดาปัตติผลก็เดินสกิทาคามิมรรค จากสกิทาคามิมรรคก็กลายเป็นสกิทาคามิผล จากอนาคามิมรรคก็เป็นอนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล ขันธ์ไหนมันแบ่งเป็นสอง? ขันธ์เดียวล้วนๆ ขันธ์เก่า ขันธ์ที่เกิดมาจากครรภ์ของแม่นั่นแหละ จิตที่เกิดขึ้นมานั่นแหละ แต่ด้วยเพราะว่าเราปฏิบัติธรรม เราเจริญธรรมขึ้นมา มันก็ขึ้นไป
ทีนี้ว่าขันธ์นั้นเป็นขันธ์ที่เป็นทุกข์ ขันธ์เป็นทุกข์ต่อเมื่อยังมีกิเลสอยู่ นี่พอมันไม่รู้มันก็เลยพยายามจะเหนี่ยวรั้งธรรมะของอาจารย์มา จะทำให้เหมือน จะทำให้คล้ายๆ กัน ถ้าคนฟังไม่มีหลักมันก็เหมือนมันคร่อมเลน เหมือนครึ่งหนึ่ง ไม่เหมือนครึ่งหนึ่ง เหมือนที่คำพูด แต่ความรู้ไม่เหมือน คำพูดกับตัวอักษรซ้ำกันเลย แต่ความหมายต่างกันไปคนละฟ้ากับดินเลย คร่อมเลนไป ทีนี้คนที่ไม่มีหลักมันก็จะจำไม่ได้ แต่ถ้าคนมีหลัก เห็นไหม คนมีหลัก พอเห็นปั๊บนี่นึกเลย
เมื่อก่อนเขาเคยพูด เพราะเขาเคยพูดอยู่ คำนี้เขาเคยสอนอยู่ ว่าธรรมขันธ์นี้คือปัญญา ก็ลูกศิษย์มาหาเรา เราบอกว่าไอ้การกำหนดเพ่งอยู่มันเป็นกสิณ ไม่มีปัญญาหรอก เขาบอกว่า มีสิ ก็ธรรมขันธ์นี่ไง แต่บัดนี้ธรรมขันธ์กลายเป็นที่หลุดพ้นไปแล้ว จากที่ว่าธรรมขันธ์นี้เป็นปัญญา อันนั้นยังถูกต้องอยู่ ยังมีที่อ้างได้ แต่นี่ว่าธรรมขันธ์หลุดพ้น ธรรมขันธ์พ้นจากไตรลักษณ์ ธรรมขันธ์นี้ให้ความสุขล้วนๆ ธรรมขันธ์เป็นสุขล้วนๆ เห็นไหม ธรรมขันธ์ก็ยังเป็นขันธ์อยู่ มันยังแปรสภาพอยู่ มันจะเอาสุขจากไหนมา?
ตอนนี้เอาเงินไว้ในกระเป๋าเราเฉยๆ มันยังลดค่าไปเลย ขนาดเงินอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย มันยังลดค่าตัวมันเองไปเลย แล้วใจมันจะไม่แปรสภาพ แล้วเอาสุขจากไหนมา? มันผิดมันก็ต้องผิดไปสิ ถึงบอกว่าทุกอย่างเป็นสมมุติ ขันธ์ที่ว่าเป็นสมมุติทั้งหมด สมมุติ แล้วก็บัญญัติของพระพุทธเจ้า แล้วก็วิมุตติไป แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็เป็นสมมุติ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญานี่เข้าไปรู้จริง จิตที่เข้าไปรู้ เรารู้แต่วิชาการมันก็เป็นสุตมยปัญญา เห็นไหม สุตมยปัญญาถึงได้พูดอย่างนั้นไง อนัตตาไม่ใช่เรา ก็จบ เงินในธนาคารก็ของในธนาคาร เงินของเราก็คือของเรา ก็จบ คนละเรื่องกัน ก็ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา มันไม่มีการสืบ
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เจริญรุ่งเรือง ให้ทำจากปุถุชนนี้ขึ้นมา เห็นไหม ถึงว่าต้องเข้าไปต่อสู้ ต้องเข้าไปรู้ แต่นี่ถ้าเป็นวิชาการ สุตมยปัญญานะ อนัตตาไม่ใช่เรา เอ็งอยู่นั่นน่ะ เราเป็นคนดีแล้ว ฉันเป็นชาวพุทธ พอเป็นชาวพุทธ ก็ยี่ห้อว่าพุทธ ก็แหม เป็นคนดีที่สุดในโลก ปล่อยว่างวางเฉย นอนจมกับทุกข์ แหม ยิ้มแฉ่งเลยว่าฉันมีความสุข นี่สุตมยปัญญา
จินตมยปัญญาใคร่ครวญไป อารมณ์มันเกิดขึ้น อารมณ์มันตามเข้าไป อารมณ์ความรู้สึกตามเข้าไป เป็นจินตมยปัญญาขึ้นมา จิตมันสงบขึ้นไป มันแต่งภาพได้เหมือน แล้วดีกว่าด้วย นี่กิเลสมันหลอกอีกชั้นหนึ่ง กิเลสบังเงา อาจารย์ใช้คำว่า กิเลสมันบังเงาเข้าไป กิเลสบังเงาอยู่ไง บังเงา บังธรรม บังความคิดเรา แล้วว่าเป็นผลของความจริง จินตมยปัญญา ถึงไม่ใช่ ต้องเป็นภาวนามยปัญญา
ภาวนามยปัญญาต้องซ้ำเรื่อยๆ ซ้ำบ่อยๆ ตัวภาวนามยปัญญานี่ธรรมจักรหมุนไป ไม่ใช่เรา ธรรมจักร ภาวนามยปัญญาเป็นธรรมจักร เป็นธรรมล้วนๆ เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แล้วมันหมุนขาดออกไป นั่นคือภาวนามยปัญญา อันนี้เป็นวิมุตติพ้นออกไป แต่ถ้ายังเป็นขันธ์อยู่ เป็นสิ่งที่ยังสื่อกันได้ ก็คำว่าสื่อกันได้ สื่อกันได้มันก็ต้องสมมุติสิ เอาอะไรมาตั้งไว้นี่ก็ได้ เรียกชื่อสมมุติกัน สิ่งที่โลกนี้ไม่มีเลย เอามาตั้งไว้นี่แล้วก็สมมุติกัน
ในเมื่อสมมุติได้อยู่ เป็นสมมุติทั้งหมด บัญญัติก็เป็นบัญญัติ วิมุตติเป็นวิมุตติ แต่ครูบาอาจารย์เรา ธรรมธาตุอันนั้นเพื่อยืนยันไง เพื่อยืนยันว่านรกมี สวรรค์มี นิพพานมี ให้ชาวพุทธมั่นคงในศาสนา เพราะว่าท่านเมตตาสงสาร ท่านถึงพยายามพูดออกมาให้สมกับความเป็นจริง แล้วให้ท่านอธิบายท่านจะอธิบายได้ถูกต้อง แต่นี้ท่านรวบยอดให้ฟังเพราะไม่มีเวลาไง
รวบยอดให้ฟังว่ามันมีจริง เป็นการยืนยันกันเฉยๆ ไม่ใช่มาเทศนาว่าการ เทศนาว่าการก็จะขยายความออกไป แต่นี่เอามารวบยอดมา แล้วก็มาหักกันอย่างนี้ มันแบบว่ามันแอบอ้างกันเกินไป มันแอบอ้างกันมากเกินไป ถึงรับไม่ได้